เหตุการณ์เด่น :มูฮาร์แรม เคอแซ (ถูกกล่าวหา)
เฟทฮุลลาห์ กือแลน (ถูกกล่าวหา)บีนาลี ยึลดือรีม (นายกรัฐมนตรี)
ฮูลูซี อาคาร์ (ประธานเสนาธิการกองทัพ)
อือมิท ดึนดาร์ (แม่ทัพภาคที่ 1/รักษาการประธานเสนาธิการ)ระหว่างวันที่ 15–16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ได้เกิดความพยายามกระทำ
รัฐประหารใน
ประเทศตุรกี แต่ล้มเหลวในที่สุด กล่าวกันว่าเหตุการณ์นี้มาจากการวางแผนของกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งใน
กองทัพตุรกี[15][16][17] แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาพยายามก่อรัฐประหารด้วยสาเหตุใด ทหารกลุ่มดังกล่าวได้ออกมายึดอำนาจในช่วงที่ประธานาธิบดี
เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน อยู่ระหว่างการพักร้อน โดยได้นำกองกำลัง รถถัง และเฮลิคอปเตอร์เข้ายึดสถานที่สำคัญ เช่น สถานีโทรทัศน์ ท่าอากาศยาน สะพานต่าง ๆ ในกรุง
อังการาและนคร
อิสตันบูล ต่อมาแอร์โดอันเรียกร้องให้ประชาชนออกมารวมตัวกันตามท้องถนนเพื่อต่อต้านรัฐประหาร
[18]แม้ว่าความพยายามดังกล่าวจะไม่บรรลุผล แต่ทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ถูกทำลาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่าพันคน และมีผู้เสียชีวิตกว่าสองร้อยคนเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เช่น อาคาร
รัฐสภาตุรกีและ
ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุง
อังการาถูกโจมตีด้วยระเบิด
[6][7][8][9] จากรายงานของ
สำนักข่าวโดอัน ฝ่ายผู้ก่อการได้ระดมยิงใส่กลุ่มพลเรือนที่พยายามจะข้าม
สะพานบอสพอรัสเพื่อประท้วงการก่อรัฐประหาร ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน
[19] นอกจากนี้ยังมีรายงานเสียงปืนใกล้ท่าอากาศยานในกรุงอังการาและนครอิสตันบูลด้วย
[19]ปฏิกิริยาที่มีต่อความพยายามก่อรัฐประหารครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นไปในทางไม่เห็นด้วย ทั้งจากภายในประเทศและจากนานาชาติ พรรคฝ่ายค้านหลัก ๆ ในตุรกีต่างประณามการกระทำดังกล่าว ขณะที่บรรดาผู้นำในระดับนานาชาติ เช่น ผู้นำจาก
สหภาพยุโรป,
องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ, สหรัฐอเมริกา ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในตุรกีเคารพสถาบันทางประชาธิปไตยและผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง
[20][21]รัฐบาลชุดปัจจุบันของตุรกีได้ประกาศว่าการก่อรัฐประหารประสบความล้มเหลวและเริ่มตามจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาแรกของทางการมาจากนายกรัฐมนตรี
บีนาลี ยึลดือรึม ซึ่งออกแถลงการณ์ผ่านสื่อในวันถัดมาโดยระบุว่าสถานการณ์ "อยู่ภายใต้การควบคุม [ของรัฐบาล] โดยสมบูรณ์แล้ว" มีทหารจำนวน 2,839 นายถูกควบคุมตัวภายใน 48 ชั่วโมง
[22]